Thai Society for Affective Disorders; TSAD TSAD

โรคจิต/โรคประสาท

รายละเอียด

โรคจิต/โรคประสาท

วันที่ 30 ต.ค. 2562

อะไรคือโรคจิต

ก่อนจะข้ามไปหาโรคจิต  หรือจิตเภท ซึ่งเป็นเพียงแค่หนึ่งในโรคหลายอย่างทางจิตเวช  จะขอเล่าเสียก่อนว่า โรคทางจิตเวชมีอะไรบ้าง และแค่ไหนถึงจะเข้าขั้นเป็นโรค

โดยทั่วไป โรคจิตเวชหมายถึง โรคที่มีอาการเด่นในเรื่องความรู้สึกนึกคิด การรับรู้ ใจคออารมณ์ หรือพฤติกรรม ผิดไปจากมนุษย์โดยเฉลี่ยที่เขาเป็นเขามีกัน จนทำให้คนๆนั้นไม่อาจใช้ชีวิต ทำงาน หรือเรียนได้อย่างที่เคย

ประโยคสุดท้ายนี่สำคัญ เพราะคนทั่วไปอาจเครียดได้บ้าง คิดแผลงๆได้บ้าง แต่ถ้าไม่ทำให้ชีวิตของเขาเปลี่ยนแปลง ก็อาจยังไม่ต้องรักษา

มาดูตัวอย่างกันว่า ความคิด การรับรู้ อารมณ์ หรือ พฤติกรรม ที่ว่าผิดปกติของโรคจิต มีอะไรบ้าง

ความคิดผิดปกติ มีได้ตั้งแต่เรื่องราวผิดปกติ เป็นไปไม่ได้ เช่น

คิดว่ามีมนุษย์ต่างดาวส่งคลื่นมาเข้าจอทีวีคุยกับตนอยู่

คิดว่ามีไดโนเสาร์ทีเร็กซ์ออกไข่อยู่ในท้อง

หรือคิดว่า มีคนตามทำร้ายตน นอนอยู่ในบ้าน ขวดมาขายรถไอติมเข็นผ่าน ก็ว่ามาขู่หาเรื่องดูถูก เห็นคนเดินผ่านเกาหัว ก็เข้าใจว่า เขาจะมายิงหัวตน

เรียกว่า แปลความหมายเหตุการณ์รอบตัวมั่วไปหมด

ความคิดผิดปกติอย่างที่สอง สังเกตยากกว่า เพราะออกมาในรูปความเร็วช้า หรือความต่อเนื่องของความคิด แม้เนื้อ เรื่องจะฟังดูไม่แปลกอะไร อย่างเช่น บางคนความคิดเร็วจนพูดไม่ทัน คิดช้าจนบางทีหายไปเฉยๆ คนถามรอฟังคำตอบจนหลับหาวนอนหวอดๆ หรือบางคนพูดจาสับสน พูดอยู่เรื่องหนึ่งก็เอาอีกเรื่องหนึ่งมาปนผสมกัน คนฟังก็เวียนหัวเปลี่ยนไม่ถูก หรือบางทีถามอย่างตอบอย่าง ( ลักษณะคล้ายนักการเมือง)

การรับรู้ ก็คือความรู้สึกผ่านประสาทสัมผัสทั้งห้า ซึ่งหากผิดปกติ ก็อาจมีทั้งรับรู้ได้เองทั้งที่ไม่มีอะไรอยู่จริง หรือที่เรียกว่า “ หลอน” เช่น หูแว่ว ได้ยินทั้งที่ไม่มีอะไรให้เสียง คนที่เป็นโรคจิต มักได้ยินเป็นเสียงคนหลายคนมาวิพากษ์วิจารณ์ตน หรือมาขู่ต่างๆนานา ส่วนการเห็นภาพหลอน ก็มักทำให้กลัวเช่นกัน ( ไม่เห็นมีคนไข้มาเล่าเลยว่า ภาพหลอนเป็นทาทายัง มายิ้มคู่มอส )

ส่วนอารมณ์ใจคอที่ผิดปกติ ก็อาจเห็นเปลี่ยนไปจากคนเดิม เช่น เคยยิ้มแย้ม ก็กลายเป็นเฉยชา ไม่ยินดียินร้าย ไม่อยากเจอคุยกับใคร หรืออยากทำอะไร ฉุนเฉียวง่ายแบบคาดไม่ถึง หรือบางคนก็หัวเราะคิกคักขึ้นมาเองโดยไม่มีสาเหตุ

สุดท้ายก็คือ พฤติกรรมที่ผิดปกติ ซึ่งมักเป็นผลจาก ความคิด การับรู้ หรืออารมณ์ที่ผิดปกติแบบที่เล่ามาแล้ว เช่น พอคิดว่า จะมีคนมาฆ่า ก็เก็บตัวอยู่แต่ในบ้าน ไม่กินข้าปลา กลัวยาพิษ เมื่อความคิดไม่ต่อเนื่อง ก็อาจทำงานไม่เสร็จ เหม่อลอย เมื่อหูแว่วเป็นเสียงมาว่ากล่าวตน ก็พูดโต้เถียงกับเสียงนั้นอยู่คนเดียว และหากอารมณ์เฉยชา ก็แยกตัว ไม่เข้าสังคมกับเพื่อนฝูงเหมือนเคย

คงเห็นได้ว่า อาการหลายแหล่งของโรคจิต โดยสรุป ก็คือ หลุดโลกความจริงไปเลย ไปอยู่ในโลกที่เขาคิด รู้สึก ตามอาการของโรค

หนักไปกว่านั้น คนที่ป่วยจะเชื่อว่า ทั้งหมดเป็นเรื่องจริง ผิดจากคนทั่วไป ที่รู้ได้ว่า อ๋อเราแว่วไปเอง นึกว่า มีคนเรียก นึกว่า โทรศัพท์ดัง ตาฝาดไปเอง ไม่จริงหรอก

ยังมีอาการอีกพวกหนึ่งของคนที่เป็นโรคจิตเภท ที่คนทั่วไปไม่ค่อยรู้จักกันนัก เพราะอาการไม่หวือหวา นั่นก็คือ อาการ เหม่อลอย เฉื่อยชา อยู่ไปอย่างไม่กระตือรือร้น ไม่ยินดียินร้าย ไม่อยากทำอะไร ไม่อยากพูดกับใคร ทำเหมือนอยู่บนยอดเขาหรือป่าลึกคนเดียว

บางคนอาจมีอาการ” ไม่” เหล่านี้นำมาก่อนจะมีอาการแปลกๆที่เล่ามาแล้ว หรือส่วนใหญ่มักมีอาการแบบนี้ หลังจากที่อาการหลุดโลกประหลาดเหล่านั้นหายหมดแล้ว ซึ่งญาติหรือคนที่ไม่เข้าใจ ก็จะว่าผู้ป่วยว่าขี้เกียจ ไม่รักดี ทั้งที่เขายังป่วยอยู่ พลอยจะทำให้ผู้ป่วยตึงเครียด อาการกลับกำเริบขึ้นใหม่อีก

ที่สำคัญและนับเป็นโชคร้ายของคนเหล่านี้ก็เนื่องมาจากการที่เขาไม่รู้ตัว ว่า เขากำลังป่วย ทำนองเดียวกับพวกขี้เหล้า ให้เซตกคลองก็ว่าไม่เมา แถมยังหงุดหงิดที่คนรอบข้างไม่เชื่อสิ่งที่เขากำลังรับรู้ หรือประสบอยู่ว่าเป็นความจริงเสียอีก จึงยากที่คนรอบข้าง ญาติโยมจะพามารักษาเสียแต่ต้นมือ

พอพามาได้ ก็ต้องคอยบังคับให้กินยาตามที่หมอสั่งอีก ซึ่งบางทีก็มักเป็นเรื่องโมโหกัน เพราะอาการของโรคก็จะมีอารทณ์ฉุนเฉียวง่ายอยู่แล้ว

ญาติก็จะหวังว่า ก็รู้อยู่ว่า กินยาแล้วดี ทำไมไม่กิน ไม่รักดีเลย

บังคับกันมากเข้า ก็จะเข้าล็อคความคิดที่คนป่วยเชื่อพอดีว่า มีคนจะเอายาพิษมาให้เขากิน ต้องเป็นเจ้าเม็ดๆพวกนี้แน่ เลยปักใจเชื่อหนัก ต้องป้องกันตนเอง บางคนอมยาไว้ แล้วไปคายทิ้งในห้องน้ำอีกที เล่นเอาเหนื่อยไปทั้งบ้าน

เห็นไหมครับว่า การมีคนในบ้านป่วยเป็นโรคจิตเภทหนึ่ง คน สร้างความเดือดร้อน และสูญเสียแก่คนทั้งครอบครัว มากกว่า มีคนป่วยเป็นโรคหัวใจ ความดันสูง เบาหวาน ที่คนทั่วไปกลัวกันนักหนาเสียอีก เพราะไม่ได้ลำบากแค่ตัวคนเดียว

มาถึงตรงนี้อยากฝากไปถึง คนที่ชอบติดปากว่า คนอื่นว่า “บ้า” หรือเรียกคนที่ทำอะไรไม่ดีในสังคม เช่น ฆาตกร หรือโทรศัพท์ไปขู่ที่โน่นที่นี่ว่า “ พวกโรคจิต” ว่า อย่าทำให้ภาพพจน์คนที่ป่วยด้วยโรคนี้ แย่ไปมากกว่านี้เลย

คนป่วยโรคจิต ไม่ใช่เป็นคนไม่ดี ( คนที่ปกติไม่ป่วยต่างหากที่ทำไม่ดี ) ถ้าว่าภาษาอังกฤษก็คือ bad กับ mad ไม่เหมือนกัน

ความเข้าใจผิดอีกอย่างหนึ่งก็คือ คนที่ป่วยเหล่านี้ จะเป็นคนสติปัญญาไม่ดี ความจำเลอะเลือน จำวันเกิดบ้านเลขที่ไม่ได้ ใส่เสื้อเองไม่เป็น ถ้าถามแล้วยังจำได้อยู่แสดงว่า ไม่ป่วยจริง แกล้งทำ

อันนี้ไม่จริงครับ เข้าใจผิดอย่างร้ายแรง คนป่วยอาจ มีการใช้เหตุผลไม่เหมาะสม แต่ไม่ใช่หลงลืม ปัญญาอ่อน

อยากให้สังคมมองคนป่วยเหล่านี้ ที่ประมาณว่า มีตั้ง 600,000 คนในเมืองไทย หรือร้อยละหนึ่งของประชากรทั่วโลกว่า เป็นผู้น่าสงสาร ควรได้รับการรักษาช่วยเหลือมากกว่าน่ากลัว น่าขบขัน

ปัจจุบันการรักษาโรคนี้ก็ก้าวหน้าไปมาก ไม่ใช่จับขัง ทุบตี ฉีดยาให้หลับอย่างเดียว เหมือนเมื่อสมัยร้อยปีก่อนเสียที่ไหนกัน

การมองคนป่วยอย่างเมตตาและเข้าใจ จะทำให้ผู้ป่วยและญาติกล้าจะนำคนป่วยซึ่งอาจถูกเก็บช่อนไว้ในบ้านอีกมาก มายออกมารับการรักษา เพราะไม่ต้องทนอับอายกับสาธารณชน กับภาพลักษณ์ผิดๆที่ถูกสังคมป้ายให้มานาน

วิธีการรักษายังมีอีกมาก หลายวิธี คงต้องเล่าให้ฟังต่างหาก

ตอนนี้ หวังแค่ว่า คงนึกภาพอาการของคนป่วยโรคจิตหรือจิตเภทนี้ได้ชัดเจน ถูกต้องขึ้นกว่าเดิมสักนิดก็ยังดีครับ

บทความโดย นพ.ปราโมทย์ สุคนิชย์ รพ.รามาธิบดี

 

ที่มา : https://thaipsychiatry.wordpress.com